วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

RAM

เเรม
EDO RAM ( Extended Data Out RAM ) ทั้ง ๆ ที่มีการโหมโฆษณารอบ ๆ ตัวของมัน แต่ EDO RAM ก็ยังไม่มีอะไรมากไปกว่าประเภทของ FPM RAM แต่เนื่องจากมันรู้ว่าส่วนใหญ่ เมื่อ CPU มีความต้องการหน่วยความจำสำหรับแอดเดรสหนึ่ง ก็จะต้องการข้อมูลในแอดเดรสที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้นด้วย ดังนั้น EDO RAM จะยังคงจับติดอยู่กับตำแหน่งของการแอกเซสในครั้งก่อน เพื่อให้การเข้าถึงแอดเดรสใกล้เคียงกันทำได้เร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพของการเข้าถึงหน่วยความจำดีขึ้นกว่า 40% แต่ EDO RAM จะมีประสิทธิภาพที่ดีได้เมื่อใช้กับความเร็วของบัสที่ 66 MHz เท่านั้น

SDRAM ( Synchronous Dynamic RAM ) ทรัพยากรและวิธีการต่าง ๆ มากมายกำลังเดินหน้าเข้าไปสู่การพัฒนา SDRAM และมันก็เริ่มปรากฏโฉมให้เห็นตามหน้าโฆษณาคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ แล้ว และสำหรับเหตุผลสองประการของการเพิ่มความนิยมกันอย่างมากคือ ประการแรก SDRAM สามารถที่จะจัดการความเร็วของบัสได้ถึง 100 MHz ประการที่สอง SDRAM มีความสอดคล้องกับระบบนาฬิกาของตัวมันเอง ซึ่งความสามารถทางด้านเทคนิคนี้วิศวกรคอมพิวเตอร์ทั้งหลายยังรู้สึกได้ว่ามันเป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจได้ แม้จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ก็ตาม นอกจากนั้นเทคโนโลยีของ SDRAM ยังให้เพจของหน่วยความจำเปิดได้ถึงสองเพจในเวลาเดียวกันอีกด้วย มาตรฐานใหม่สำหรับ SDRAM ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยองค์กรที่มีชื่อว่า SCIzzL ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยแซนตาคลารา ( รัฐแคลิฟอร์เนีย ) ซึ่งร่วมมือกับบริษัทอุตสาหกรรมชั้นแนวหน้าอีกหลายบริษัท โดยเราเรียกว่า SLDRAM เทคโนโลยีนี้ได้รับการพัฒนาพบ SDRAM โดยการรองรับความเร็วของบัสที่มากกว่าเดิมและการใช้แพ็กเกต ( แพ็กขนาดเล็กของข้อมูล ) เพื่อทำหน้าที่คอยดูแลความต้องการของแอดเดรส การคำนวณเวลา และคำสั่งที่ไปถึง DRAM ผลลัพธ์ที่ได้คือการอาศัยการปรับปรุงที่น้อยกว่าในการออกแบบชิปของ DRAM และรวมไปถึงราคาที่ต่ำกว่ามาก สำหรับหน่วยความจำประสิทธิภาพสูงเช่นนี้


DRAM
Dynamic Random Access Memory หรือ DRAM หรือ ดีแรม คือ แรม (Random Access Memory; RAM) หรือ หน่วยความจำชนิดปกติสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีและเครื่องเวิร์คสเตชั่น (Workstation) หน่วยความจำคือเครือข่ายของประจุไฟฟ้าที่เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้เก็บข้อมูลในรูปของ "0" และ "1" ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายๆRandom Access หรือ การเข้าถึงแบบสุ่ม หมายถึง โปรเซสเซอร์สามารถเข้าถึงทุกๆส่วนของหน่วยความจำหรือพื้นที่เก็บข้อมูลได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องค้นหาข้อมูลที่ต้องการเรียงตามลำดับจากจุดเริ่มต้นDRAM คือไดนามิก ซึ่งตรงกันข้ามกับ

SRAM หรือ สแตติกแรม (Static RAM); DRAM ต้องการการรีเฟรช (Refresh) เซลเก็บข้อมูล หรือการประจุไฟ (Charge) ในทุกๆช่วงมิลลิวินาที ในขณะที่ SRAM ไม่ต้องการการรีเฟรชเซลเก็บข้อมูล เนื่องจากมันทำงานบนทฤษฎีของการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงใน 2 ทิศทาง ไม่เหมือนกับเซลเก็บข้อมูลซึ่งเป็นเพียงตัวเก็บประจุไฟฟ้าเท่านั้น โดยทั่วไป SRAM มักจะถูกใช้เป็นหน่วยความจำแคช (Cache Memory) ซึ่งโปรเซสเซอร์สามารถเข้าถึงได้เร็วกว่าDRAM จะเก็บทุกๆบิตในเซลเก็บข้อมูล ซึ่งประกอบขึ้นด้วยกลุ่มตัวเก็บประจุ (คาปาซิเตอร์; Capacitor) และทรานซิสเตอร์ (Transistor) คาปาซิเตอร์จะสูญเสียประจุไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว และนั่นเป็นเห็นเหตุผลว่า ทำไม DRAM จึงต้องการการรีชาร์ตปัจจุบัน มีแรมมากมายหลากหลายชนิดในท้องตลาด เช่น EDO RAM, SDRAM และ DDR SDRAM เป็นต้น


DDR-RAM (ดีดีอาร์ แรม) หรือ DDR SDRAM ย่อมาจากคำว่า "Double Data Rate SDRAM" คือ หน่วยความที่ใช้เก็บข้อมูลชั่วคราว (Ram) ที่ได้รับการพัฒนา และ ยึดถือหลักการทำงานตามปกติของหน่วยความจำแบบ SD-RAM จึงทำให้ทำงานได้เหมือนกัน SD-RAM แทบทุกอย่าง แตกต่างกันตรงที่ DDR-RAM สามารถทำงานที่ความเร็วสูงกว่า 200MHz (เมกะเฮิร์ตซ) ขึ้นไปได้ และมีความสามารถในการรับส่งข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า คือ รับส่งข้อมูลได้ทั้งทั้งขาขึ้นและขาลงของสัญญาณนาฬิกา เทียบกับSD-RAM ปกติที่จะรับส่งข้อมูลเฉพาะขาขึ้นของสัญญาณนาฬิกาเพียงด้านเดียวคะ แรมชนิดนี้สังเกตุได้จากมีจำนวนขาสัญญาณ(Pins) 184 ขา และเขี้ยวที่ด้านสัมผัสทองแดงมีอยู่ที่เดียว แตกต่างจาก SD-RAM ที่มีอยู่ 2 ที่
หน่วยความจำ DDR2 เทียบกับ DDR
หน่วยความจำ DDR2 มีขนาดทางกายภาพเท่ากับ DDR แต่มีการกำหนดจำนวนขาแตกต่างกันตารางด้านล่างนี้เปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างหน่วยความจำ DDR และ DDR2:
DDR2
DDR
DIMMไม่มีที่พักข้อมูล
240 ขา 1.8 โวลต์
184 ขา 2.5 โวลต์
DIMM ลงทะเบียน
240 ขา 1.8 โวลต์
184 ขา 2.5 โวลต์
SO-DIMMs
200 ขา 1.8 โวลต์
200 ขา 2.5 โวลต์
DIMM ลงทะเบียนขนาดเล็ก
244 ขา 1.8 โวลต์

MicroDIMMS
214 ขา 1.8 โวลต์


172 ขา 2.5 โวลต์เนื่องจากมีการกำหนดแรงดันไฟฟ้า และจำนวนขาที่แตกต่างกัน หน่วยความจำDDR2 จึงมี 'คีย์' หรือร่องที่ขั้วต่อแตกต่างไป เพื่อป้องกันไม่ให้เสียบลงช่องที่ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ หน่วยความจำ DDR2 จะใส่ได้เฉพาะกับระบบ และเมนบอร์ด ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อรองรับหน่วยความจำ DDR2 เท่านั้น


นางสาวกาญจนา จอมศรี เลขที่ 1
นางสาวขวัญฤทัย เจริญผล เลขที่ 2
นางสาวจริยา รัดถา เลขที่ 3
นางสาวจิดาภา เชื้อสาวะถี เลขที่ 4
นางสาวจิราภรณ์ เเลสงเขียว เลขที่ 5
นายสุมนัส กองศรีผิว เลขที่ 38

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์(Super computer)

เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสามารถประมวลผลได้เร็วที่สุด ซึ่งส่วนมากแล้วจะผลิตมาใช้กับงานโดยเฉพาะด้านเท่านั้น เช่น งานวิทยาศาสตร์ที่ยุ่งยากซับซ้อน และต้องมีการคำนวณมาก งานออกเเบบเตรื่องบิน งานวิจัยทางด้านนิวเคลียร์ ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดนี้จะมีราคาค่อนข้างแพงมาก ดั้งนั้นจึงมีใช้ไม่แพร่หลายมากนัก



สุดยอดความเร็วซุปเปอร์คอมพิวเตอร์




คอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วในการทำงานมากที่สุดในโลก เขาจะเรียกว่า ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ หรือ Supercomputer ความเร็วของเครื่องซุปเปอร์คอมพิว เตอร์นั้นมักมีการเปรียบเทียบจัดอันดับกันอยู่เรื่อย ๆ ว่าเครื่องไหนในโลกเร็วกว่ากัน และในปีนี้ทางสหรัฐ อเมริกา ก็โอ่ว่าแซงหน้าญี่ปุ่นไปแล้ว ซึ่งญี่ปุ่นเป็นแชมป์ เดิมอยู่



พูดถึงเรื่อง ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ และความ เร็วนั้นก็คงจะต้องมาทำความเข้าใจทั้งสองเรื่องก่อนให้ตรงกันคือ

ประการแรกซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ คืออะไร ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ในความหมายของตัวเองนั้น ก็ชัดเจนอยู่แล้ว คำว่าซุปเปอร์ก็เหมือนกับสุดยอดเพราะฉะนั้น ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ก็คือสุดยอดของคอมพิวเตอร์ นั่นเอง ก็เหมือนยอดมนุษย์เค้าก็เรียกซุปเปอร์แมนนั่นแหละ ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์นั้นก็จะสามารถประมวลผล คำสั่งได้สูงสุดนั่นแหละ ที่ต้องใช้ความเร็วมากขนาดนั้นเพราะจะต้องประมวลผลคำสั่งทีละจำนวนมาก ๆ ด้วยความเร็วสูง และรอไม่ได้ และต้องรู้ผลลัพธ์ทันที เช่นการพยากรณ์อากาศ ซึ่งจะต้องรู้ผลลัพธ์ล่วงหน้าก่อนความเสียหายจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ ในด้านการแพทย์เรื่องการวิเคราะห์โรค การสังเคราะห์ยีน การทำดาต้าไมนิ่ง

ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์มีลักษณะการทำงานแบบ ประมวลผล คู่ขนานซึ่งปัจจุบันมี 2 แบบคือ แบบ เอส เอ็มพี (SMP) และแบบเอ็มเอ็มพี (MMP) ทั้งสองต่างกันตรงที่ เอสเอ็มพีจะใช้หน่วยความจำร่วมกัน แต่กรณีของเอ็มเอ็มพีจะมีหน่วยความจำของตนเองสำหรับการทำงานประมวลผล


และบริษัทที่สามารถสร้างเครื่องซุปเปอร์คอม พิวเตอร์ได้จนมีชื่อเสียงในโลกขณะนี้ ก็จะรู้จักกันในนามของเครย์ (Cray) ซึ่งสร้างไว้สำหรับการพยากรณ์อากาศโดยเฉพาะที่ประเทศอังกฤษซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ในรุ่นหลัง ๆ นั้นก็มีจะสร้างที่สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น และก็มักจะใช้ในด้านการพยากรณ์อากาศ

ประการที่สองคือความเร็วของคอมพิวเตอร์ เขาวัดความเร็วของซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ด้วยความเร็วที่ เรียกว่า ทีราฟลอพ teraflop ซึ่งมีความหมายว่าสามารถทำงานได้เร็วด้วยความสามารถประมวลผลคำสั่งได้เป็น 1012 คำสั่งต่อวินาที หรือเอา 10 คูณกัน 12 ครั้ง ก็คือ 1,000,000,000,000 หรือหนึ่งล้านล้านคำสั่งต่อวินาที

เดิมทีนั้นที่ประเทศญี่ปุ่นสร้างเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ สำหรับการพยากรณ์แบบจำลองของโลก เช่น แผ่นดินไหว โดยบริษัทเอ็นอีซี (NEC) ซึ่งมีความ เร็ว 35.86 ทีราฟลอพ หรือ 35.86 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาทีถือว่าเร็วมากที่สุดในโลกเมื่อก่อน


ในปัจจุบัน กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศว่า มีซุปเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ คือ รุ่น บลูยีนแอล หรือ Blue Gene/L ซึ่งสามารถทำความเร็วได้ถึง 70.72 ทีราฟลอพ หรือสามารถทำได้ถึง 70.72 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที และซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ชุดนี้ก็จะเป็นของบริษัทไอบีเอ็ม หรือยักษ์สีฟ้านั่นเอง

ทางรองประธานกรรมการบริษัทอาวุโสของบริษัท ไอบีเอ็มก็ยังประกาศว่า ในอนาคตคือประมาณปี 2006 ทางบริษัทจะสามารถทำให้ซุปเปอร์มีความเร็วได้ถึง 1,000 ทีราฟลอพ หรือที่ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า พีทาฟลอพ (Petaflop) หรือ 10 คูณกัน 15 ครั้ง หรือ 1015 หรือ 1,000,000,000,000,000 คำสั่งต่อวินาที เร็วขนาดไหนใช้จินตนาการดูเอาเองก็แล้วกัน แต่รับรองว่าพีซีทีที่เราใช้กันทุกวันไม่ต้องไปเทียบเคียงให้เสียเวลา

ที่เขียนมาเรื่องนี้ ก็ยังน่าเสียดายว่า ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่กรมอุตุนิยมวิทยาของไทย สมัยผมเป็น ส.ส. เคยอภิปรายเรื่องนี้ให้ผู้บริหารเท่าไร ก็ไม่ยอมรับรู้ ปัจจุบันเป็นอย่างไรก็คงปรากฏชัดเจน ถ้าหากฟังตั้งแต่ สมัยนั้นป่านนี้เราก็คงจะได้ระบบพยากรณ์อากาศชั้นดีสำหรับประชาชนทั้งประเทศไปแล้ว หรือว่าในอนาคตคงจะเกิดสิ่งดี ๆ ในกรมอุตุนิยมวิทยาก็แล้วกันครับ.

ราคาของซุปเปอร์คอมพิวเตอร์

โอริออนปิ๊งไอเดีย ผลิต ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Supercomputer) หวังเจาะตลาดนิชมาร์เก็ต กลุ่มนักออกแบบ นักวิจัย ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงกว่าพีซีในราคาไม่สูงตาม โคลิน ฮันเตอร์ (Colin Hunter) ซีอีโอของบริษัทโอริออน มัลติซิสเต็มส์ อิงค์ (Orion Multisystems Inc.) ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มแนวความคิดผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนี้ กล่าวว่า พวกเขามองเห็นช่องว่างของตลาดไอที ระหว่างผู้ใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และคอมพิวเตอร์พีซีซึ่งยังเป็นตลาดมีการเติบโตค่อนข้างสูง แต่ทว่า อัตราความเร็วในการทำงานของคอมพิวเตอร์พีซีที่สูงที่สุดนั้นทำได้แค่ 2-3 พันล้านรอบนาฬิกาต่อวินาที ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีรอบนาฬิกาสูงถึง 1 ล้านล้านรอบต่อวินาที ซึ่งโอริออนผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์เข้ามาแทรกตลาดในส่วนที่มีการประมวลผลคำสั่งในระดับแสนล้านคำสั่งต่อวินาทีนั่นเอง สถาปัตยกรรมการประมวลผลดังกล่าวเป็นแบบ การประมวลผลแบบขนาน (Parallel Processing) เป็นการนำชิปประมวลผลหลาย ๆ ตัวมาต่อเชื่อมเข้าด้วยกัน และแยกส่วนกันทำงาน ทำงานโดยใช้ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ หัวใจสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การควบคุมการใช้พลังงานในทุก ๆ คอมโพเนนท์ของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ดังกล่าว ให้กินไฟน้อยลง ไม่สิ้นเปลือง โดยจะต้องสามารถใช้กระแสไฟฟ้าจากปลั๊กไฟมาตรฐานได้ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทางบริษัทเปิดตัวมีสองรุ่น รุ่นแรกเป็นรุ่นตั้งโต๊ะ (Desktop Model) มีขนาดเท่ากล่องพิซซ่า ภายในประกอบด้วยโปรเซสเซอร์ชิป 12 ตัว ฮาร์ดดิสก์ความจุ 1.8 เทราไบต์ อีกรุ่นหนึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่่อรุ่นว่า DS-96 ภายในบรรจุโปรเซสเซอร์ 96 ตัว สามารถประมวลผลได้ 1.5 แสนล้านคำสั่งต่อวินาทีในการทำงานปกติ แต่ในช่วงพีค (Peak) ก็สามารถรองรับการประมวลผลที่เพิ่มขึ้นได้สูงสุดถึง 3 แสนล้านคำสั่งต่อวินาที ส่วนฮาร์ดดิสก์ของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ดังกล่าวมีความจุ 7.8 เทราไบต์ (อ้างอิงจากรอยเตอร์) ทั้งนี้ทั้งนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สองรุ่นดังกล่าวใช้โปรเซสเซอร์ชิปของทรานสเมตะ ราคาของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั้งสองนั้น ทางบริษัทโอริออนเปิดเผยว่า สำหรับรุ่นโปรเซสเซอร์ 12 ตัวนั้นมีราคาประมาณ 10,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 416,500 บาท) ส่วนรุ่นโปรเซสเซอร์ 96 ตัวนั้นมีราคาประมาณ 100,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4,165,000 บาท) แนวความคิดในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนี้มีความเป็นไปได้ว่า โอริออนต้องการปลุกกระแสความต้องการของตลาดในเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทรงพลัง มากด้วยประสิทธิภาพให้เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ถูกคอมพิวเตอร์พีซีตีตลาดเสียราบคาบ ด้วยนวัตกรรมโครงสร้างสถาปัตยกรรมของหน่วยประมวลผล ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากสถาปัตยกรรมของคอมพิวเตอร์พีซีในปัจจุบัน จากการคาดการณ์ของผม ซึ่งอยู่ในวงการนี้มานานหลายปี เชื่อมั่นว่าในอนาคต ชื่อของโอริออนจะได้รับการยอมรับไม่แพ้ ซัน ไอบีเอ็ม และฮิวเล็ตต์ แพกการ์ด ฮันเตอร์กล่าวให้สัมภาษณ์อย่างมุ่งมั่น ลูกค้าปัจจุบันของซูเปอร์คอมพิวเตอร์แบรนด์ดังกล่าวได้แก่ Mathematica บริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อการวิจัยชั้นนำ, Bioteam บริษัทที่ปรึกษาเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในกวิจัยปัญหาด้านจีโนมิกส์ (Genomics) และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เป็นความคิดที่ฉลาดมาก ในการพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดย่อม เพื่อรองรับตลาดในกลุ่มนักวิจัย หรือบริษัทดีไซเนอร์ อีกทั้งยังสามารถใช้กระแสไฟ 120 โวลต์ธรรมดา ๆ ได้อีกต่างหาก ดร.เบน อิงกลิส (Dr.Ben Inglis) นักวิจัยสาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียกล่าว ดร.อิงกลิสมีแผนว่าจะใช้คอมพิวเตอร์โอริออนในการศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กที่มีต่อสมองของมนุษย์ ทั้งในด้านการสร้างความหวาดกลัว ผลกระทบต่อความจำ และการกระตุ้นในลักษณะอื่น ๆ บริษัทโอริออนก่อตั้งขึ้นในปี 2003 มีพนักงานประมาณ 40 ชีวิต ซึ่งล้วนเต็มไปด้วยผู้มากประสบการณ์จากบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากทรานสเมตะ (Transmeta) ซันไมโครซิสเต็มส์ ผู้บริหารระดับสูงจากเดลล์ และ 2 ผู้เชี่ยวชาญจากเฟล็กทรอนิกส์ ซึ่งชำนาญในการคิดค้นกระบวนการผลิตแบบประหยัดต้นทุน

นางสาวกาญจนา จอมศรี เลขที่ 1

นางสาวขวัญฤทัย เจริญผล เลขที่ 2

นางสาวจริยา รัดถา เลขที่ 3

นางสาวจิดาภา เชื้อสาวัตถี เลขที่ 4

นางสาวจิรภรณ์ เเสงเขียว เลขที่ 5

นายสุมนัส กองศรีผิง เลขที่ 38

เเหล่งข้อมูล - http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8B%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C

- http://www.itmelody.com/free_tip/AR_ViewItem.php?id=192

- http://www.dailynews.co.th/it/each.asp?newsid=39147

- http://hitech.sanook.com/%E0%B8%8B%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2-10000-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90-836895.html

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คอมพิวเตอร์มีส่วนประกอบหลัก ๆ อยู่ 4 ส่วนด้วยกัน คือ
1. โปรเซสเซอร์ (Processor)
2. หน่วยความจำ(Memory)
3. ส่วนอินพุต/เอาต์พุต (Input/Output)
4. สื่อจัดเก็บข้อมูล(Storage)


1.โปรเซสเซอร์ (Processor)
หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โปรเซสเซอร์ (Processor) หรือ ชิป (chip) นับเป็นอุปกรณ์ ที่มีความสำคัญมากที่สุด ของฮาร์ดแวร์เพราะมีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อน เข้ามาทางอุปกรณ์อินพุต ตามชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการใช้งาน หน่วยประมวลผลกลาง ประกอบด้วยส่วนประสำคัญ 3 ส่วน คือ 1. หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit : ALU) หน่วยคำนวณตรรกะ ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องคำนวณอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยทำงานเกี่ยวข้องกับ การคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร นอกจากนี้หน่วยคำนวณและตรรกะของคอมพิวเตอร์ ยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่เครื่องคำนวณธรรมดาไม่มี คือ ความสามารถในเชิงตรรกะศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการเปรียบเทียบตามเงื่อนไข และกฏเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้ได้คำตอบออกมาว่าเงื่อนไข นั้นเป็น จริง หรือ เท็จ เช่น เปรียบเทียบมากว่า น้อยกว่า เท่ากัน ไม่เท่ากัน ของจำนวน 2 จำนวน เป็นต้น ซึ่งการเปรียบเทียบนี้มักจะใช้ในการเลือกทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำตามคำสั่งใดของโปรแกรมเป็น คําสั่งต่อไป 2. หน่วยควบคุม (Control Unit) หน่วยควบคุมทำหน้าที่คงบคุมลำดับขั้นตอนการการประมวลผลและการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ภายใน หน่วยประมวลผลกลาง และรวมไปถึงการประสานงานในการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยประมวลผลกลาง กับอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล อุปกรณ์แสดงผล และหน่วยความจำสำรองด้วย เมื่อผู้ใช้ต้องการประมวลผล ตามชุดคำสั่งใด ผู้ใช้จะต้องส่งข้อมูลและชุดคำสั่งนั้น ๆ เข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์เสียก่อน โดยข้อมูล และชุดคำสั่งดังกล่าวจะถูกนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำหลักก่อน จากนั้นหน่วยควบคุมจะดึงคำสั่งจาก ชุดคำสั่งที่มีอยู่ในหน่วยความจำหลักออกมาทีละคำสั่งเพื่อทำการแปล ความหมายว่าคำสั่งดังกล่าวสั่งให้ ฮาร์ดแวร์ส่วนใด ทำงานอะไรกับข้อมูลตัวใด เมื่อทราบความหมายของ คำสั่งนั้นแล้ว หน่วยควบคุมก็จะส่ง สัญญาณคำสั่งไปยังฮาร์แวร์ ส่วนที่ทำหน้าที่ ในการประมวลผลดังกล่าว ให้ทำตามคำสั่งนั้น ๆ เช่น ถ้าคำสั่ง ที่เข้ามานั้นเป็นคำสั่งเกี่ยวกับการคำนวณ หน่วยควบคุมจะส่งสัญญาณ คำสั่งไปยังหน่วยคำนวณและตรรกะ ให้ทำงาน หน่วยคำนวณและตรรกะก็จะไปทำการดึงข้อมูลจาก หน่วยความจำหลักเข้ามาประมวลผล ตามคำสั่งแล้วนำผลลัพธ์ที่ได้ไปแสดงยังอุปกรณ์แสดงผล หน่วยคงบคุมจึงจะส่งสัญญาณคำสั่งไปยัง อุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ ที่กำหนดให้ดึงข้อมูลจากหน่วยความจำหลัก ออกไปแสดงให้เห็นผลลัพธ์ดังกล่าว อีกต่อหนึ่ง 3. หน่วยความจำหลัก (Main Memory) คอมพิวเตอร์จะสามารถทำงานได้เมื่อมีข้อมูล และชุดคำสั่งที่ใช้ในการประมวลผลอยู่ในหน่วยความ จำหลักเรียบร้อยแล้วเท่านั้น และหลักจากทำการประมวลผลข้อมูลตามชุดคำสั่งเรียบร้อบแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ จะถูกนำไปเก็บไว้ที่หน่วยความจำหลัก และก่อนจะถูกนำออกไปแสดงที่อุปกรณ์แสดงผล ถ้าเปรียบเทียบกับร่างกายของมนุษย์โพรเซสเซอร์ก็น่าจะเปรียบเทียบเป็นเหมือนสมองของมนุษย์นั่งเอง ซึ่งคอยคิดควบคุมการทำงานส่วนต่างๆของร่างกาย ดังนั้นถ้าจัดระดับความสำคัญแล้วโพรเซสเซอร์ก็น่าจะมีความสำคัญเป็นอันดับแรก


2. หน่วยความจำ(Memory)

RAM ย่อมาจาก (Random Access Memory) เป็นหน่วยความจำหลักที่จำเป็น หน่วยความจำ ชนิดนี้จะสามารถเก็บข้อมูลได้ เฉพาะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้นเมื่อใดก็ตามที่ไม่มีกระแสไฟฟ้า มาเลี้ยง ข็อมูลที่อยู่ภายในหน่วยความจำชนิดจะหายไปทันที หน่วยควมจำแรม ทำหน้าที่เก็บชุดคำสั่งและข้อมูลที่ระบบคอมพิวเตอร์กำลังทำงานอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าข้อมูล (Input) หรือ การนำออกข้อมูล (Output) โดยที่เนื้อที่ของหน่วยความจำหลักแบบแรมนี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ 1. Input Storage Area เป็นส่วนที่เก็บข้อมูลนำเข้าที่ได้รับมาจากหน่วยรับข้อมูลเข้าโดย ข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้ในการประมวลผลต่อไป 2. Working Storage Area เป็นส่วนที่เก็บข้อมูลที่อยู่ในระหว่างการประมวลผล 3. Output Storage Area เป็นส่วนที่เก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล ตามความต้องการของผู้ใช้ เพื่อรอที่จะถูกส่งไปแสดงออก ยังหน่วยแสดงผลอื่นที่ผู้ใช้ต้องการ 4. Program Storage Area เป็นส่วนที่ใช้เก็บชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการจะส่งเข้ามา เพื่อใช้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติตามคำสั่ง ชุดดังกล่าว หน่วยควบคุมจะทำหน้าที่ดึงคำสั่งจากส่วน นี้ไปที่ละคำสั่งเพื่อทำการแปลความหมาย ว่าคำสั่งนั้นสังให้ทำอะไร จากนั้นหน่วยควบคุม จะไปควบคุมฮาร์ดแวร์ที่ต้องการทำงานดังกล่าวให้ทำงานตามคำสั่งนั้นๆ หน่วยความจำหรือ RAM เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อคุณคิดจะใช้คอมพิวเตอร์ ดังนั้นการพิจารณา เลือกซื้อคอมพิวเตอร์จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงการ เลือกซื้อชนิดและปริมาณของหน่วยความจำด้วย ความต้องการหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์นั้นนับวันก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ก็เนื่องมา จากความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานได้ง่ายขึ้นโดยผู้ที่ไม่คุ้นเคย ก็สามารถทำได้ หรือจะเป็นความต้องการทำงานในแบบมัลติมีเดียซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ความต้องการหน่วยความจำเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ทางผู้ผลิตจึงได้เร่งผลิตหน่วยความจำเข้าสู่ท้องตลาดจนปัจจุบันราคาแรมลดลงอย่าง ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จากเมื่อต้นปีที่แล้วที่ราคาแรมแบบ 72 พินขนาด 8 MB มีราคาประมาณ 5,000 บาท ทุกวันนี้ผู้ใช้สามารถหาซื้อแรมชนิดเดียวกันได้ในราคาเพียงประมาณ 800 บาทเท่านั้น ดังนั้นการเพิ่มหน่วยความจำจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปสำหรับผู้ใช้โดยทั่วไป คำถามต่อมาที่ผู้ใช้ สงสัยคือ หน่วยความจำแบบใดจึงจะดีที่สุด หน่วยความจำที่เป็นที่รู้จักและมีจำหน่ายมากที่สุดคือหน่วยความจำแบบ 72 พิน ส่วนหน่วย ความจำแบบ 30 พินซึ่งมีใช้สำหรับเครื่องรุ่น 80386 นั้นตอนนี้ได้หายไปจากท้องตลาดแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ตั้งแต่เครื่องแบบ 486 เป็นต้นมาต่างก็ใช้หน่วย ความจำแบบ 72 พินทั้งนั้น สำหรับหน่วยความจำแบบ 72 พินนั้นก็จะมีอยู่ 2 ประเภทที่ผู้ใช้ รู้จักกันดีคือแบบ Fast Page Mode และ EDO ซึ่งแบบแรกนั้นก็เริ่มจะไม่เป็นที่นิยมแล้ว ซึ่งเนื่องมาจากการพัฒนาแรมแบบ EDO ที่ทำให้มีความเร็วสูงกว่า ดังนั้นหากผู้ใช้ต้องการ จะซื้อหน่วยความจำก็ควรจะเลือกแบบ EDO หรือที่เร็วกว่าจึงจะเหมาะ ที่สำคัญราคาของ หน่วยความจำแบบ Fast Page Mode นั้นสูงกว่าแบบ EDO แล้วอันเนื่องมาจากปริมาณที่ มีอยู่เพียงเล็กน้อยในตลาด แต่สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์บา งรุ่นซึ่งไม่สามารถใส่แรม แบบ EDO ได้นั้นก็ยังคงต้องใช้แรมแบบ Fast Page Mode ต่อไป ซึ่งเครื่องที่ไม่สนับสนุน แรมแบบ EDO นั้นก็จะเป็นเครื่องรุ่น 486 ส่วนแรมอีกประเภทหนึ่งซึ่งเพิ่งจะมีใช้ไม่นานนัก คือแรมแบบ SDRAM ซึ่งปัจจุบันเป็นแรมที่มีความเร็วสูงที่สุด โดยแรมประเภทนี้จะเป็นแรม แบบ 168 พินซึ่งมีอยู่ในบอร์ดบางรุ่นเท่านั้น สำหรับราคาของแรมประเภทนี้นั้นยังมีราคาสูง อยู่ทั้งนี้ก็เนื่องจากยังเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่และยังไม่แพร่หลายมากนัก แต่คาดว่าในอนาคต ก็จ ะสามารถเข้ามาครองตลาดได้เหมือนที่ EDO ทำได้มาก่อนหน้านี้แล้ว วิธีการเลือกซื้อหน่วยความจำนั้น ผู้ใช้ต้องคำนึงถึงซ็อกเก็ตใส่หน่วยความจำของบอร์ดว่า มีอยู่เท่าใด โดยปกติบอร์ดในปัจจุบันจะมีซ็อกเก็ตใส่แรม 4 ซ็อกเก็ต โดยเวลาใส่จะต้องใส่ เป็นคู่จึงจะสามารถใช้งานได้ ดังนั้นหากผู้ใช้ต้องการเพิ่มหน่วยความจำจึงต้องซื้อหน่วย ความจำที่มีขนาดความจุเท่ากัน 2 แผง แต่ก็อาจมีบอร์ดบางรุ่นที่มีซ็อกเก็ตแรม 6 หรือ 8 ซ็อกเก็ตซึ่งมีประโยชน์ในกรณีต้องการเพิ่มแรมในอนาคต จะสามารถทำได้อย่างยืดหยุ่นมากกว่า ตัวอย่างเช่น หากแรมในเครื่องผู้ใช้เป็นแบบแผงละ 8 MB 2 แผงแล้วต้องการจะเพิ่มขึ้นไปอีก ผู้ใช้ที่มีซ็อกเก็ตแรมเพียง 4 ซ็อกเก็ตจะมีโอกาสเพิ่มได้เพียงครั้งเดียว ทั้งนี้เพราะช่องแรม ที่เหลืออยู่มีเพียงคู่เดียว ปัญหาก็คือหากผู้ใช้ต้องการเพิ่มหน่วยความจำให้สูง ๆ เช่น ต้องการแรมมากกว่า 32 MB ก็ต้องซื้อแรมแบบ 16 MB 2 แผงซึ่งเป็นการจ่ายเงินจำนวนมาก ในครั้งเดียว แต่ถ้าผู้ใช้มีซ็อกเก็ตแรม 6 ซ็อกเก็ตก็ยังมีโอกาสที่จะเพิ่มได้อีกในภายหลังทำให้ ไม่จำเป็นต้องซื้อแรมแบบ 16 MB ในครั้งแรกนี้ก็ได้ ซึ่งก็จะทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการ เพิ่มแรมมากนัก อย่างไรก็ตามก็มีบอร์ดบางรุ่นที่ผู้ใช้สามารถเพิ่มแรมทีละ 1 แผงได้ซึ่งก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ เพราะทำให้ผู้ใช้มีโอกาสเพิ่มแรมได้สะดวกยิ่งขึ้น ส่วนแรมแบบ SDRAM นั้นปัจจุบันบอร์ด ทั่ว ๆ ไปจะมีซ็อกเก็ต SDRAM เพียง 1 ซ็อกเก็ต ดังนั้นหากผู้ใช้ต้องการเพิ่มแรมก็จะมีโอกาส เพียงครั้งเดียวเช่นกัน จะมีเพียงบอร์ดบางรุ่นเท่านั้นที่มีซ็อกเก็ตแร มแบบ SDRAM มากกว่า 1 ช่อง ซึ่งที่พบในปัจจุบันนั้นก็จะเป็นแบบ 2 ซ็อกเก็ตสำหรับบอร์ดเพนเทียม และสูงสุดที่พบคือ 4 ซ็อกเก็ตสำหรับเพนเทียมโปร (มีเฉพาะซ็อกเก็ตแรมแบบ SDRAM เท่านั้น) อย่างไรก็ตามบอร์ดที่มีซ็อกเก็ตแรมแบบ SDRAM นี้จะมีซ็อกเก็ตแบบ 72 พินรวมอยู่ด้วยซึ่ง สามารถใช้หน่วยความจำทั้ง 2 ชนิดรวมกันได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบอร์ดด้วยว่าผู้ใช้จะสามารถ ใส่แรมทั้ง 2 แบบรวมกันได้ในลักษณะใดบ้าง เช่น เมื่อผู้ใช้ใส่แร มแบบ SDRAM แล้วจะใช้ ซ็อกเก็ตแรมแบบ 72 พินได้เพียง 1 คู่เท่านั้น หรืออาจใช้ได้ครบทุกซ็อกเก็ต ทั้งนี้ก็อยู่ท ี่เมนบอร์ดแต่ล ะรุ่น ผู้ใช้จึงควรตรวจดูในคู่มือให้แน่ชัดก่อนว่าบอร์ดรุ่นนั้น ๆ สนับสนุนการ ใส่แรมในลักษณะใด ส่วนขนาดของแรมที่เหมาะสมในปัจจุบันนั้น ขั้นต่ำจะอยู่ที่ 32 MB จึงจะ ใช้งานได้อย่างสะดวก แต่แนะนำว่าควรเป็น 64 MB หรือสูงกว่าเพื่อประสิทธิภาพในการ ใช้งานที่สูงขึ้น

3. ส่วนอินพุต/เอาต์พุต(Input/Output)
อุปกรณ์อินพุต (Input device) คือ อุปกรณ์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถสัมผัสและรับรู้สิ่งต่าง ๆ จากโลก ภายนอกได้ ตัวอย่างเช่น เครื่องอ่านบัตร คีย์บอร์ด เมาส์ อุปกรณ์นำข้อมูลเข้า คือ อุปกรณ์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถสัมผัสและรับรู้สิ่งต่างๆ จากภายนอกเครื่องได้ อันได้แก่ โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่เขียนสั่งงาน ให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามขั้นตอน และข้อมูลที่ต้องใส่เข้าไปพร้อมกับโปรแกรม เพื่อส่งไปให้หน่วยประมวลผลกลางทำการประมวลผล และผลิตผลลัพธ์ที่ต้องการออกมา ตัวอย่างเช่น เครื่องอ่านบัตร คีย์บอร์ด เมาส์ จอยสติก จอสัมผัส ปากกาแสง กล้องดิจิตอล สแกนเนอร์ เป็นต้น อุปกรณ์เอาต์พุต (Output device) คือ อุปกรณ์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์ควบคุมหรือส่งผลออกมาสู่โลกภายนอกได้ ตัวอย่างเช่น เครื่องเจาะบัตร จอภาพ เครื่องพิมพ์ อุปกรณ์นำข้อมูลออก หรืออุปกรณ์แสดงผล คือ อุปกรณ์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ควบคุมหรือส่งผลออกมาสู่ภายนอกตัวเครื่องได้ หลังจากที่คอมพิวเตอร์ได้ทำการประมวลผลแล้ว ก็จะต้องมีวิธีในการนำผลลัพธ์ออกมาแสดง ซึ่งสามารถแบ่งอุปกรณ์แสดงผลนี้ ออกได้เป็น 3 ประเภทคือ อุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ชั่วคราว เช่น จอภาพ (Monitor) อุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ถาวร เช่น เครื่องพิมพ์ (Printer) และอุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ถาวรทางด้านกราฟิก เช่น พลอตเตอร์ (Plotter) เป็นต้น

อุปกรณ์ Input
เครื่องอ่านบัตร
ผลิตภัณฑ์ TOP WORLD รุ่น TW-990R (Magnetic Access Controller ) เป็นเครื่องควบคุม (Controller)โดยใชับัตรแถบแม่เหล็ก (Magnetic Card) ทำงานโดยมีอุปกรณ์หลัก 2 ส่วนคือส่วนที่เป็นหัวอ่าน (Reader) และส่วนควบคุมประมวลผล(Controller) อยู่ในเครื่องเดียวกัน เมื่อมีการเข้า-ออกซึ่งต้องใช้บัตรรูดที่บริเวณหัวอ่าน (Reader) โดยที่หัวอ่านจะอ่านข้อมูลของบัตรแต่ละใบและส่งสัญญาณ ข้อมูลบัตรที่อ่าน ได้ไปยังส่วนควบคุมประมวลผล (Controller) จากนั้นส่วนควบคุมจะทำการสั่งให้กลอนปลดล็อคออก ผู้เข้าผ่านสามารถเข้าประตูผ่าน ไปได้ หรือใช้สำหรับลงเวลาทำงานของพนักงานก็ได้ สามารถต่อกับระบบเสียงเตือนภัยเพื่อแจ้งเตือนกรณีเปิดประตูค้างทิ้งไว้ หรือมีการงัดประตู เครื่องควบคุม(Controller) สามารถทำการโปรแกรมการตั้งบัตรได้โดยใช้รหัส (Password) ในการเข้าโปรแกรมที่หน้าเครื่องควบคุมหรือที่คอมพิวเตอร์ และสามารถทำงานเป็นอิสระจากกันได้ (Standalone) โดยไม่จำเป็นต้องเปิดคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา

คีย์บอร์ด

เป็นอุปกรณ์รับเข้าพื้นฐานที่ต้องมีในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะรับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วทำการเปลี่ยนเป็นรหัสเพื่อส่งต่อไปให้กับคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ที่ใช้ในการป้อนข้อมูลจะมีจำนวนตั้งแต่ 50 แป้นขึ้นไป แผงแป้นอักขระส่วนใหญ่มีแป้นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก เพื่อทำให้การป้อนข้อมูลตัวเลขทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น การวางตำแหน่งแป้นอักขระ จะเป็นไปตามมาตรฐานของระบบพิมพ์สัมผัสของเครื่องพิมพ์ดีด ที่มีการใช้แป้นยกแคร่ (shift) เพื่อทำให้สามารถใช้พิมพ์ได้ทั้งตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก ซึ่งระบบรับรหัสตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรหัส 7 หรือ 8 บิต กล่าวคือ เมื่อมีการกดแป้นพิมพ์ แผงแป้นอักขระจะส่งรหัสขนาด 7 หรือ 8 บิต นี้เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ เมื่อนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งานพิมพ์ภาษาไทยจึงต้องมีการดัดแปลงแผงแป้นอักขระให้สามารถใช้ งานได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย กลุ่มแป้นที่ใช้พิมพ์ตัวอักษรภาษาไทยจะเป็นกลุ่มแป้นเดียวกับภาษาอังกฤษ แต่จะใช้แป้นพิเศษแป้นหนึ่งทำหน้าที่สลับเปลี่ยนการพิมพ์ภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษภายใต้การควบคุมของซอฟต์แวร์อีกชั้นหนึ่ง แผงแป้นอักขระสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตระกูลไอบีเอ็มที่ผลิตออามารุ่นแรก ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 จะเป็นแป้นรวมทั้งหมด 83 แป้น ซึ่งเรียกว่า แผงแป้นอักขระพีซีเอ็กซ์ที ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 บริษัทไอบีเอ็มได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระ กำหนดสัญญาณทางไฟฟ้าของแป้นขึ้นใหม่ จัดตำแหน่งและขนาดแป้นให้เหมาะสมดียิ่งขึ้น โดยมีจำนวนแป้นรวม 84 แป้น เรียกว่า แผงแป้นอักขระพีซีเอที และในเวลาต่อมาก็ได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระขึ้นพร้อม ๆ กับการออกเครื่องรุ่น PS/2 โดยใช้สัญญาณทางไฟฟ้า เช่นเดียวกับแผงแป้นอักขระรุ่นเอทีเดิม และเพิ่มจำนวนแป้นอีก 17 แป้น รวมเป็น 101 แป้น การเลือกซื้อแผงแป้นอักขระควรพิจารณารุ่นใหม่ที่เป็นมาตรฐานและสามารถใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ สำหรับเครื่องขนาดกระเป๋าหิ้วไม่ว่าจะเป็นแล็ปท็อปหรือโน้ตบุ๊ค ขนาดของแผงแป้นอักขระยังไม่มีการกำหนดมาตรฐาน เพราะผู้ผลิตต้องการพัฒนาให้เครื่องมีขนาดเล็กลงโดยลดจำนวนแป้นลง แล้วใช้แป้นหลายแป้นพร้อมกันเพื่อทำงานได้เหมือนแป้นเดียว
เมาส์


เมาส์ Mouse จัดเป็น Input Device ประเภทหนึ่งซึ่งข้อมูลที่ป้อน เข้าไปจะเป็นตำแหน่งและการ กด Mouse Mouse มีอยู่ด้วยกัน หลายประเภทโดยจะมี 1)Mouse แบบปกติที่พบเห็นทั่วไปอาจจะมี 2 ปุ่ม หรือ 3 ปุ่ม 2) Mouse แบบไร้สาย (WireLess) ซึ่งจะใช้ สัญญาณวิทยุโดย Mouse เป็นตัวส่งสัญญาณ และมีตัวรับสัญญาน ที่ต่อกับเครื่องคอม 3) Mouse แสง (Optical Mouse) เป็น Mouse ที่ไม่มีลูกกลิ้งที่ฐาน Mouse โดยใช้การอ่านค่าจากการ สะท้อนของแสงที่สัมผัสกับพื้นผิว 4) Scroll Mouse เป็น Mouse ที่มี Scroll ไว้เพื่อใช้เลื่อน Scroll Bar ในโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ เช่น Internet Explorer นอกจาก Mouse แล้วยังมีอุปกรณ์อีก ประเภทที่เรียกว่า Track Ball ซึ่งจะมีลักษณะคล้าย Mouse แต่ จะมี Ball อยู่ด้านบนแทนที่จะอยู่ด้านล่าง และเลื่อน Pointer โดยการ ใช้ นิ้วมือกลิ้งไปบน Ball
จอภาพ


จอภาพ ทำหน้าที่แสดงอักษร ข้อความและรูปภาพที่สร้างจากการ์ดแสดงผล ขนาดของจอภาพ วัดจาก ความยาวเส้นทแยงมุมของจอภาพ ขนาดมาตราฐานของจอภาพคือ 14 นิ้ว หรือ 15 นิ้ว สำหรับหน่วยที่ใช้วัด เรียกว่า ดอตพิตช์ (Dot Pitch) ยิ่งมีขนาดเล็กจะมีความคมชัดสูง สำหรับขนาดดอตพิตช์ มาตราฐานไม่ควรมากกว่า 0.28 มิลลิเมตร ปัจจุบันมีจอภาพที่กำลังเป็นที่สนใจมากคือ จอแบน (LCD) ซึ่งกินพื้นที่ในการติดตั้งน้อยมาก แต่ราคาปัจจุบันยังแพงมาก

4. สื่อจัดเก็บข้อมูล (Storage)
สื่อที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลในอดีตเริ่มตั้งแต่การใช้บัตรเจาะรู ต่อมามีการใช้เทปแม่เหล็กซึ่งสามารถอ่านและเขียนได้รวดเร็วกว่า รวมทั้งยังเก็บรักษาง่ายและมีความจุสูง ต่อมามีการพัฒนาดิสก์(Disk) ขึ้นมา ซึ่งสามารถอ่าน และค้นหาข้อมูลได้รวดเร็วกว่าเทปแม่เหล็ก ดิสก์ในปัจจุบันมี 2 แบบ คือ 1. ดิสก์แบบอ่อน เป็นดิสก์ที่มีลักษณะเป็นแผ่นพลาสติกบางๆ และมีสารแม่เหล็กเคลือบภายนอก ตัวอย่างดิสก์แบบนี้ เช่น แผ่นดิสก์ขนาด 3.25 นิ้ว ที่เราใช้กันอยู่ 2.ดิสก์แบบแข็ง เป็นแผ่นดิสก์ที่เป็นแผ่นอลูมิเนียม มีสารแม่เหล็กเคลือบอยู่ เช่นฮาร์ดดิสก์ชนิดต่างๆ ดิสก์แบบนี้จะสามารถบันทึกได้มากกว่าดิสก์แบบอ่อน เพราะสามารถบรรจุข้อมูลได้หนาแน่นกว่า และมีความเร็วในการหมุนเร็วมาก ดังนั้นดิสก์แบบนี้จะมีการเก็บที่ดีมาก โดยจะมีกล่องครอบดิสก์ไว้ ไม่ให้มีอากาศ หรือฝุ่นเข้าไปถูกแผ่นดิสก์เลยและในปัจจุบันก็มีอุปกรณ์อีกอย่างที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เรียกว่า Handy Drive จะเป็นชิปขนาดเล็กที่สามารถเก็บข้อมูลไว้ภายในได้ มีลักษณะคล้าย ROM แบบเขียนได้ โดยจะติดต่อกับเครื่องผ่านพอร์ต USB ปัจจุบันมีตั้งแต่ขนาด 2, 4, 8,… จนถึง 128 Mb ดิสก์ ดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าดิสก์มี 2 แบบ โดยมีลักษณะเป็นแผ่นกลมบาง สำหรับโครงสร้างของดิสก์จะมี 3 อย่าง คือ 1.แทร็ก(Track) เป็นลักษณะที่มีการแบ่งดิสก์ออกเป็นวง หลายๆวง แต่ละวงเรียกว่าแทร็ก โดยจะเริ่มที่แทร็ก 0 2.เซกเตอร์(Sector) เป็นการแบ่งแทร็กออกเป็นส่วนๆอีกครั้ง หากมองดูแล้วจะเหมืนเป็นการแบ่งดิสก์ออกเป็นส่วนๆโดยใช้เส้นผ่านศูนย์กลาง สำหรับในดิสก์แบบอ่อนจะมีการแบ่งเซกเตอร์ออกตั้งแต่ 8 ถึง 32 เซกเตอร์ ตามแต่ชนิดแผ่น แต่ในดิสก์แบบแข็งอาจมีการแบ่งเป็นหลายร้อยเซกเตอร์ก็ได้ โดยจะเริ่มที่เซกเตอร์ที่ 0 แต่เนื่องจากความกว้างของเซกเตอร์ในส่วนรอบนอกจะกว้างกว่าด้านใน ในบางครั้งจะมีการแบ่งเซกเตอร์ที่อยู่ในส่วนนอกอีกครั้งเพื่อให้มีขนาดที่เหมาะสม 3.ไซลินเดอร์(Cylinder) เนื่องจากดิสก์แบบแข็งจะมีดิสก์หลายแผ่นเรียงซ้อนกัน เราจะเรียกแทร็ก และเซกเตอร์ ของดิสก์แต่ละแผ่นที่ตรงกันว่า ไซลินเดอร์ หน่วยที่เล็กที่สุดในโครงสร้างของดิสก์คือบล็อก(Block) หรือช่องที่เกิดจากการแบ่งแทร็ก และเซกเตอร์นั่นเอง ซึ่งบล็อกนี้อาจจะมีเนื้อที่ 512 ไบต์ หรือ 1024 ไบต์ ก็ได้ ตามแต่วิธีการจัดการดิสก์


สำหรับในปัจจุบันนี้นั้น ได้มีทางเลือกให้ผู้ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ได้จัดเก็บข้อมูล ดังตัวอย่างที่จะนำมาเสนอดังต่อไปนี้ ตัวอย่างของสื่อหรืออุปกรณ์การจัดเก็บข้อมูล ฮาร์ดดิสก์


ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีเปลือกนอก เป็นโลหะแข็ง และมีแผงวงจรสำหรับการควบคุมการทำงานประกบอยู่ที่ด้านล่าง พร้อมกับช่องเสียบสายสัญญาณและสายไฟเลี้ยง ส่วนประกอบภายในจะถูกปิดผนึกไว้อย่างมิดชิด โดยจะเป็นแผ่นดิสก์และหัวอ่านที่บอบบางมาก และไม่ค่อยจะทนต่อการกระทบ กระเทือนได้ ดังนั้น จึงควรที่จะระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เวลาจัดถือไม่ควรให้กระแทกหรือกระเทือน และระมัดระวังไม่ให้มือโดน อุปกรณ์อื่น ๆ ที่อยู่บนแผงวงจร โดยปกติ ฮาร์ดดิสก์ มักจะบรรจุอยู่ในช่องที่เตรียมไว้เฉพาะภายในเครื่อง โดยจะมีการต่อสาย สัญญาณเข้ากับตัวควบคุมฮาร์ดดิสก์ และสายไฟเลี้ยงที่มาจากแหล่งจ่ายไฟด้วยเสมอ ในที่นี้ จะขอแนะนำให้รู้จักกับ ฮาร์ดดิสก์ แบบต่าง ๆ ในเบื้องต้น พอเป็นพื้นฐานในการทำความรู้จักและเลือกซื้อมาใช้งานกัน
CD ROM

ภายในซีดีรอมจะแบ่งเป็นแทร็กและเซ็กเตอร์เหมือนกับแผ่นดิสก์ แต่เซ็กเตอร์ในซีดีรอมจะมีขนาดเท่ากัน ทุกเซ็กเตอร์ ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อไดรฟ์ซีดีรอมเริ่มทำงานมอเตอร์จะเริ่มหมุนด้วยความเร็ว หลายค่า ทั้งนี้เพื่อให้อัตราเร็วในการอ่านข้อมูลจากซีดีรอมคงที่สม่ำเสมอทุกเซ็กเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นเซ็กเตอร์ ที่อยู่รอบนอกกรือวงในก็ตาม จากนั้นแสงเลเซอร์จะฉายลงซีดีรอม โดยลำแสงจะถูกโฟกัสด้วยเลนส์ที่เคลื่อนตำแหน่งได้ โดยการทำงานของขดลวด ลำแสงเลเซอร์จะทะลุผ่านไปที่ซีดีรอมแล้วถูกสะท้อนกลับ ที่ผิวหน้าของซีดีรอมจะเป็น หลุมเป็นบ่อ ส่วนที่เป็นหลุมลงไปเรียก "แลนด์" สำหรับบริเวณที่ไม่มีการเจาะลึกลงไปเรียก "พิต" ผิวสองรูปแบบนี้เราใช้แทนการเก็บข้อมูลในรูปแบบของ 1 และ 0 แสงเมื่อถูกพิตจะกระจายไปไม่สะท้อนกลับ แต่เมื่อแสงถูกเลนส์จะสะท้อนกลับผ่านแท่งปริซึม จากนั้นหักเหผ่านแท่งปริซึมไปยังตัวตรวจจับแสงอีกที ทุกๆช่วงของลำแสงที่กระทบตัวตรวจจับแสงจะกำเนิดแรงดันไฟฟ้า หรือเกิด 1 และ 0 ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ ส่วนการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีรอมนั้นต้องใช้แสงเลเซอร์เช่นกัน โดยมีลำแสงเลเซอร์จากหัวบันทึกของเครื่อง บันทึกข้อมูลส่องไปกระทบพื้นผิวหน้าของแผ่น ถ้าส่องไปกระทบบริเวณใดจะทำให้บริเวณนั้นเป็นหลุมขนาดเล็ก บริเวณทีไม่ถูกบันทึกจะมีลักษณะเป็นพื้นเรียบสลับกันไปเรื่อยๆตลอดทั้งแผ่น


วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

โปรแกรมที่ใช้ล็อคโฟลเดอร์

Lock Folder XP 3.6

รายละเอียดโปรแกรม- ข้อมูลลับ ไม่อยากให้ใครมาเปิดดูได้
- เพราะ งานสำคัญอาจถูกลบ, รูปภาพคนรักอาจถูกแก้ไข
- ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เมื่อท่านใช้ "Lock Folder XP 3.6"
- ด้วยความสามารถของโปรแกรมจะทำให้ข้อมูลแสนหวงของท่าน
- ปลอดภัยจากยุงร้ายและแมลงสาบ รับรองว่าถ้าไม่มี Password
- ก็ไม่มีทางเปิดเข้าไปดูข้อมูลได้แน่นอน


Folder Lock 6.4.5

ตัวโปรแกรมจะเข้ารหัสลับสร้างการเก็บรักษาเรียกว่า 'ตู้เก็บ' ท่านสามารถเก็บข้อมูลหรือไฟล์ส่วนตัวของท่านไว้ได้เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น file folder, vdo, picture, USB, CD / DVD, document และ password ต่างๆ ทำให้ท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูล การสูญเสีย การโจรกรรมข้อมูล หรือการถูกแฮกเกอร์ขโมยข้อมูล เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัย


Folder Lock 6.4.1

สามารถLockแยกเป็นไฟล์ได้หลายอัน ซึ่งสามารถตั้งรหัสแต่ละไฟล์ออกไป(คล้ายๆกับพวกโปรแกรมสร้าง Achive เช่น Winrar) โดยเป็นโปรแกรมสำหรับเพิ่มความปลอดภัยของเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราจากบุคคล อื่น โดยโปรแกรมสามารถล็อกไฟล์ ล๊อกโฟลเดอร์ หรือ ซ่อนไฟล์ ซ่อนโฟล์เดอร์ไม่ให้คนอื่นสามารถเปิดเข้าไปดูหรือจัดการข้อมูลได้ โดยการล็อกข้อมูลสามารถกำหนดรหัสผ่านเพื่อตรวจสิทธิในการใช้งานได้ครับ ทั้งนี้ยังช่วยปกป้องข้อมูลจากโปรแกรมที่ประสงค์ร้าย เช่นไวรัส, Worm (หนอนอันตราย) และ Rrojan (ม้าโทจัน) ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย โดยคุณฟังก์ชั่นที่เด่นๆ เช่น มีการเข้ารหัส แบบ 256-bit Blowfish Encryption ที่ถือว่าปลอดภัยมากที่สุด

คำเตือน: ในการจะ Active หรือใช้งานโปรแกรมนี้ค่อนข้างวุ่นวาย เพราะโปรแกรมนี้มีการตรวจจับ Blacklist Key ค่อนข้างแม่นยำ ขณะที่เราใช้งานโปรแกรมโดยที่เราต่อ Interner อยู่ ดังนั้นเวลาจะ Active หรือใช้งานโปรแกรมควรจะ disable INTERNET ทุกครั้ง


โปรแกรมป้องกันโฟลเดอร์ <เวอร์ชั่นล่าสุด 0.3.3 Beta >

1.Lock folder ที่ท่านกำหนดได้โดยที่ไม่สามารถดูข้อมูลต่างๆใน Folder นั้นได้จาก My Computer หรือ Windows Explorer
2.ดูรูปภาพต่างๆ ได้ เช่น jpg ,gif,bmp ฯลฯ ได้โดยตรงจากโปรแกรมนี้ (มีบาง Format ที่ยังดูไม่ได้จากเวอร์ชั่นนี้)
3.ดูหนัง VCD และ เล่นเพลง ได้ทั้ง CD-Audio และ MP3 ได้จากทั้ง Harddisk และ CD-ROM ได้โดยตรงจากโปรแกรมนี้
4.ป้องกันการใช้งานโปรแกรมโดยใช้รหัสผ่านโปรแกรมนี้ไม่ได้เขียนชุดติดตั้ง ซึ่งอาจทำให้โปรแกรมมีขนาดใหญ่ โปรดอ่านไฟล์ Readme.txt ก่อน

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553


ภาษา C

ข้อดี : สั้น กะทัดรัด ภาษาซี มีรูปแบบย่อทำให้เขียนสั้นลงอยู่มาก ซึ่งข้อดีก็คือ สั้นดี แต่ข้อเสีย ก็คือ ซับซ้อน อ่านยาก เวลาอ่านก็เหมือนกับการแก้สมการ ซึ่งการเขียนจะยาก แต่ก็ได้รับความนิยม และการใช้ วงเล็บปีกกา ซึ่งดูคล้ายกับวงเล็บธรรมดา จุดอ่อนอีกจุดหนึ่งที่สำคัญของภาษาซีก็คือภาษาซี มองทุกอย่างเป็น Case Sensitive ทำให้เขียนโปรแกรมแล้วหลงเรื่อง Case เป็นประจำ
การรองรับ pointer นั้นอาจจะมองได้ว่าคือจุดอ่อนที่สุดของภาษาซี ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นpointer คือความสามารถที่ภาษาอนุญาตให้เราสามารถอ่านเขียนหน่วยความจำได้โดยตรง ซึ่งประสิทธิภาพสูงมาก (สูสีกับภาษา Assembly) เปรียบได้กับเราเปิดร้านขายของชำ แล้วบอกลูกค้าว่า เพื่อความรวดเร็ว ไปหยิบของเองเลย แล้วมาจ่ายเงินก็แล้วกัน ซึ่งวิธีนี้เร็วมากลูกค้าไม่ต้องรอเราเป็นผู้หยิบให้เลย เขาหยิบได้เอง แต่ความสะดวกนี้ ก็ต้องแลก ถ้าลูกค้าคนนั้นเมา เดินเตะของพังหมด หรืออาจจะขโมยด้วยซ้ำ อีกปัญหาหนึ่ง ก็คือตัวของภาษาซี ไม่มีตัวจัดการจองหน่วยความจำในตัวเอง เมื่อเวลาเราต้องการจองหน่วยความจำแบบ Dynamic ภาษาซี ทำ wrapper เพื่อติดต่อกับ OS เพื่อขอจองหน่วยความจำโดยตรง ปัญหาก็คือ การติดต่อกันระหว่างโปรแกรมของเรากับ OS เป็นไปอย่างหลวมๆ ถ้าโปรแกรมลืมบอก OS ว่าเลิกจองหน่วยความจำดังกล่าว หน่วยความจำนั้นก็จะถูกจองไปเรื่อยๆ เราจะเห็นเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วในตอนเช้า แต่พอตกบ่ายก็ช้าลงจนทำงานไม่ไหว จนสุดท้ายต้อง boot ใหม่ สาเหตุหลักของปัญหานี้คือ สิ่งที่เรียกว่าหน่วยความจำรั่ว หรือ Memory Leak ถึงแม้วันนี้ ภาษาซี ก็เสื่อมความนิยมไปมากแล้ว ตั้งแต่ GUI OS อย่าง Windows เข้ามามีบทบาทภาษาซีปรับตัวเองเข้ากับการเขียนโปรแกรมแบบ GUI ไม่ค่อยได้ จึงเสื่อมความนิยมไปเกือบหมด คงเหลือแต่การใช้งานบน UNIX เท่านั้น ที่ยังคงพอใช้ภาษาซีกันอยู่

ข้อเสีย : ภาษา C ไม่มีตัวจัดการจองหน่วยความจำในตัวเอง เมื่อเวลาเราต้องการจองหน่วยความจำแบบ Dynamic ภาษา C ทำ wrapper เพื่อติดต่อกับ OS เพื่อขอจองหน่วยความจำโดยตรง ปัญหาก็คือ การติดต่อกันระหว่างโปรแกรมของเรากับ OS เป็นไปอย่างหลวมๆ ถ้าโปรแกรมลืมบอก OS ว่าเลิกจองหน่วยความจำดังกล่าว หน่วยความจำนั้นก็จะถูกจองไปเรื่อยๆ เราจะเห็นเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วในตอนเช้า แต่พอตกบ่ายก็ช้าลงจนทำงานไม่ไหว จนสุดท้ายต้อง boot ใหม่ สาเหตุหลักของปัญหานี้คือ สิ่งที่เรียกว่าหน่วยความจำรั่ว หรือ Memory Leak

http://khawfangza.blogspot.com/2009/06/c.html


C++

ข้อดี : การแบ่งกันใช้งานทรัพยากรณ็ของระบบอย่างมีประสิทธิภาพ ลองสมมติเหตุการที่เรามีโปรแกรมอยู่ 5 ตัว แต่ละตัวมี Function การทำงานที่เหมือนกัน แต่ถ้าแต่ละตัวมีขนาดของ File 500 KB นั่น หมายความว่าเราเสียพื้นที่ไป 2.5 MB โดยประมาณ แต่ถ้าเราแยกเอาส่วนที่เหมือนกันออกมา เช่น Function การทำงานที่เหมือนกัน นำมาเก็ยไว้ใน File เดียวกัน ซึ่งจะทำให้พื้นที่จัดเก็ยลงได้ เช่น ถ้า เนือที่การทำงานที่เมือนกันมีประมาณ 300 KB ดังนั่น ทั้ง 5 File จะใช้ทรัพยากรณ์ เพียง 1.3 MB แทนที่จะเป็น 2.5 MB
ง่ายต่อการเปลี่ยนแปลง ในงานที่จะต้องเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ เรามักจะเก็บส่วนที่เปลี่ยนแปลงไว้ใน File DLL เพราะมันทำให้เราแก้ไขได้สะดวก โดยแก้ไขเฉพาะส่วนที่เปลี่ยนแปลง ใน File DLL เท่านั้น และยิ่งการทำงานส่วนที่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ นั้นถูกใช้งานจากหลายๆ Application ยิ่งน่าจะนำมาเก็บไว้ใน File DLL แล้ว Share กันใช้งาน
การนำกลับมาใช้ใหม่ การนำกลับมาใช้ใหม่หรือ Reuse เป็นเรื่องสำคัญในกระบวนการ พัฒนา Software เพราะสามารถนำโปรแกรม ที่มีขนาดใหญ่ มาซอยเป้นชิ้นย่อยๆ โดยแต่ละชิ้นย่อยๆ อาจเก็บ Function ที่ทำหน้าที่ อย่างชัดเจนำไว้ ก็เป็นแนวความคิดเดียวกัน กับการสร้าง Component นั่นเอง เพียงแต่ File DLL จะเก็บ Function เอาไว้ ซึ่งช่วยให้เราไม่ต้องมาเขียน Function ใหม่ทุกครั้ง ถ้าเคยมีอยู่แล้ว ก็ใช้สิ่งที่มีอยู่ต่อ ยอดไปเลย

ข้อเสีย :

http://www.thai-programmer.com/?DPage=90201302


C#


ข้อดี
- ไม่ได้เกิดมาเป็นลูก Microsoft- ระบบ Component ดีมากๆ ไม่ยึดติดกับเจ้า ActiveX หรืออะไรพวกนั้น- ภาษาเข้าใจง่าย- IDE ใช้งานง่าย- เหมาะกับการพัฒนา Application สำหรับองค์กร เพราะว่าเก่ง Database- สนับสนุนมาตราฐานทุกตัว (ไม่ใช่แค่ Microsoft)


ข้อเสีย
- ภาษาเยิ่นเย้อ เสียเวลาเขียน- ความเข้ากันได้กับ Windows ยังไม่เท่า MSC++ ไม่เหมาะแก่การเขียนโปรแกรมดูแลระบบ- Help ห่วยมากๆ (Delphi 6)

http://www.thaiadmin.org/board/index.php?topic=4968.0;wap2









VB

ข้อดี
การครอบคลุมตลาด ตั้งแต่ RAD ไปกระทั่ง VB Script สำหรับเขียน ASP บน Web หรือแม้กระทั่ง Application ต่างๆ เช่น Office VISIO ก็ล้วนแล้วแต่รองรับการเพิ่มความสามารถด้วย VBA และในปัจจุบัน Microsoft ได้ขยายสังเวียนการต่อไปไปถึง Pocket PC อีกด้วย สำหรับ VB นัยว่า Store procedure ของ SQL Server Microsoft จะรองรับภาษา VB ด้วย
จุดหนึ่งที่ทำให้ VB ดูดีกว่าภาษาตระ***ล C ก็คือ Case Insensitive ผมคงไม่ปฏิเสธว่า Case Sensitive มันก็มีความยืดหยุ่นสูง แต่มันก็ทำให้เขียนโปรแกรมแล้วหลงได้ง่าย บางคนเลือก VB เพราะเหตุผลนี้เป็นหลัก


ข้อเสีย

ถูกโจมตีอีกข้อก็คือ เรื่องความเร็ว แน่นอนครับภาษา VB ช้ากว่าภาษาอื่นมาก เรื่องนี้จริงครับ แต่คนส่วนมากที่ใช้ VB จะไม่ค่อยรู้สึก เพราะงานที่ต้องใช้ความเร็วจริงๆ มีไม่มาก ถ้างานที่ต้องใช้ความเร็วจริงๆ ก็ใช้ภาษาอื่นครับ อีกข้อก็คือ VB ไม่ใช่เป็นภาษาที่เป็น OOP เต็มรูปแบบ ไม่สามารถทำ Implementation Inheritance ได้

http://www.thaiadmin.org/board/index.php?topic=4968.5;wap2



VB.net

ข้อดี

- รองรับ Optional argument ซึ่งสำคัญมากที่คุณต้องการใช้งานร่วมกับ
ActiveX component หรือการเขียนโค้ดชนกับพวก Office
- ทำตัวไม่ซีเรียสได้ คือยอมรับการทำ late-binding ได้
ถ้าไม่กำหนด Option Strict On การเขียนโค้ดพวกนี้ใช้กับพวก ActiveX
อีกนั่นเอง (ผมแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเขียนโค้ดแบบ late-binding ใน .Net)
- รองรับการทำ named indexer (การสร้าง property ที่มี argument)
- มีคำสั่ง VB แบบเดิมๆ เช่น Left, Mid, UCase, ... ให้ใช้ง่ายๆ สำหรับ
ผู้ใช้ VB6 มาก่อน (การเรียกใช้ฟังก์ชันแบบเดิมๆ นี้จะมีผลต่อประสิทธิภาพของโปรแกรม)
- มีประโยค With..End With ให้ใช้
- ความเรียบง่าย เช่นการสร้างประโยค Event
- สามารถกำหนดชื่อเมธอดของการ implements interface ที่ต่างจากที่กำหนดไว้ใน interface
ได้ (ผมว่าไม่ค่อยได้ประโยชน์เลย ทำให้ยุ่งยากในการค้นหาเสียมากกว่า)
- มีประโยค Catch...When... ทำให้สามารถทำการ filter exception
ด้วยเงื่อนไขได้ นอกเหนือจากการ filter ด้วยชนิดของ exception เท่านั้น
- Visual Studio .Net จะทำการ compile โค้ดในลักษณะ backgroundซึ่งช่วยเป็นข้อดี
ในโปรเจ็กต์ขนาดเล็ก แต่ถ้าโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่มหึมาจะกลับเป็นข้อเสียอย่างมาก (มีฝรั่งหลายคนบ่นว่าต้องถึงกับต้องยอม
เปลี่ยนจาก VB.Net มาเป็น C# เลย ในโปรเจ็กต์ที่มีไฟล์มีคลาสเป็น


ข้อเสีย

1.เขียนโปรแกรมที่สลับซับซ้อนมากๆไม่ได้2.ใช้Run time3.ใช้งานบน Windows อย่างเดียว

http://multimedia.udru.ac.th/homecs2/mon_cs/VB.NET.html


Java

ข้อดี
โปรแกรมจาวาที่เขียนขึ้นสามารถทำงานได้หลาย platform โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขหรือ compile ใหม่ ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเวลาที่ต้องเสียไปในการ port หรือทำให้โปรแกรมใช้งานได้หลาย platform
ภาษาจาวาเป็นภาษาเชิงวัตถุ ซึ่งเหมาะสำหรับพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน การพัฒนาโปรแกรมแบบวัตถุจะช่วยให้เราสามารถใช้คำหรือชื่อ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบงานนั้นมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
ภาษาจาวามีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C++ ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น
ภาษาจาวามีการตรวจสอบข้อผิดพลาดทั้งตอน compile time และ runtime ทำให้ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโปรแกรม และช่วยให้ debug โปรแกรมได้ง่าย
ภาษาจาวาถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่แรก ทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยจาวามีความปลอดภัยมากกว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น
มี IDE, application server, และ library ต่าง ๆ มากมายสำหรับจาวาที่เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการซื้อ tool และ s/w ต่าง ๆ


ข้อเสีย
ทำงานได้ช้ากว่า native code (โปรแกรมที่ compile ให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่อง) หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น อย่างเช่น C หรือ C++ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาจะถูกแปลงเป็นภาษากลางก่อน แล้วเมื่อโปรแกรมทำงานคำสั่งของภาษากลางนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเครื่องอีกทีหนึ่ง ทีล่ะคำสั่ง (หรือกลุ่มของคำสั่ง) ณ runtime ทำให้ทำงานช้ากว่า native code ซึ่งอยู่ในรูปของภาษาเครื่องแล้วตั้งแต่ compile โปรแกรมที่ต้องการความเร็วในการทำงานจึงไม่นิยมเขียนด้วยจาวา
tool ที่มีในการใช้พัฒนาโปรแกรมจาวามักไม่ค่อยเก่ง ทำให้หลายอย่างโปรแกรมเมอร์จะต้องเป็นคนทำเอง ทำให้ต้องเสียเวลาทำงานในส่วนที่ tool ทำไม่ได้ ถ้าดู tool ของ MS จะใช้งานได้ง่ายกว่า และพัฒนาได้เร็วกว่า (แต่ต้องซื้อ tool ของ MS และก็ต้องรันบน platform ของ MS


http://images.paxzcasso.multiply.multiplycontent.com/attachment/0/SLjJqQoKCCYAAA1nAd41/


PHP

ข้อดี
ยืดหยุ่น ไม่ซับซ้อน สามารถพัฒนาแบบ Object ได้ (PHP5 ขึ้นไป)มีบริษัทที่ให้การสนับสนุนโปรแกรมระดับ Enterprise นักพัฒนาสามารถหา Compiler ได้ฟรีๆ ไม่ต้องเสียตัง มีโปรแกรมเสริมจำนวนมาก มีคำสั่งครบถ้วน


ข้อเสีย
ถ้าต้องการการเข้ารหัส Code จะต้องเสียเงิน เพื่อใช้บริการของ Third Partyตัวภาษาเองไม่สามารถเข้ารหัสได้ Developer Environment ยังเป็นแบบ Code Based อยู่ไม่มี Compiler เพื่อสร้าง Binary สำหรับแต่ละ OS


http://www.thaiadmin.org/board/index.php?topic=4968.5;wap2





ปาศคาล

ข้อดี
- Syntax เป็นระเบียบ (Structural) สวยงาม เหมาะกับผู้เริ่มต้น และระดับสูงก็ยังไหว (DELPHI)- syntax ไม่กำกวม (ambigious อาจพิมผิดได้)- มี String

ข้อเสีย
- เพราะมันสวยเกินไป จึงเยิ่นเย้อ พิมเยอะ ไม่สะใจ- จะช้ากว่า C แน่นอน- Library ต่างๆ น้อยกว่า C

http://www.atriumtech.com/cgibin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/tech/developer/topic/DM1041606.html


สรุป เลือกภาษาซี เพราะอยากจะศึกษาภาษานี้ให้เข้าใจก่อน




นางสาว ขวัญฤทัย เจริญผล ฑณ 2/12 เลขที่ 2
นางสาว ปัทมวรรณ ดาสา พณ 2/12 เลขที่ 14
นาย ภูวนัย แผงศร พณ2/12 เลขที่ 33